WHAT'S NEW?
Loading...

ฟัก กินลดอ้วน บำรุงร่างกาย แก้ร้อนใน รักษาไตอักเสบ บวมน้ำ

Advertisements

Advertisements

ฟัก กินลดอ้วน บำรุงร่างกาย แก้ร้อนใน รักษาไตอักเสบ บวมน้ำ 

ฟัก (winter melon) ชื่ออื่นๆ : ฟักเขียว ฟักขาว ฟักแฟง บักฟัก ขี้พร้า ฟักหม่น ฯลฯ ผักสวนครัวชนิดหนึ่งที่ปลูกง่าย หาได้ง่าย เป็นผักชนิดแรกที่เด็กเริ่มหัดกิน ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารและบำรุงร่างกายได้ นิยมนำมาใส่ในแกง ต้ม ผัดต่างๆ บ้างทำเป็นขนมหวานในเทศกาล

แต่เมนูยอดนิยมคงจะเป็นแกงเขียวหวานไก่ฟักเขียว แกงจืดฟักต้มกับไก่ แกงเลียง ฟักเขียวผัดกับหมูใส่ไข่ ฟักเชื่อม รวมถึงยอดอ่อนที่นำมาลวก หรือต้มกะทิ กินกับน้ำพริกได้ มีรสชาติอร่อยไม่แพ้ผักอื่นเหมือนกัน ตำรายาจีนโบราณกาลระบุว่า

“สำหรับผู้ที่อยากให้ร่างกายผอม แต่แข็งแรง ให้กินเป็นประจำ ถ้าอยากอ้วนก็อย่ากิน”

สรรพคุณ :    
                         
- ใบ แก้ฟกช้ำ แก้พิษผึ้งต่อย ช่วยรักษาบาดแผล แก้โรคบิด แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้บวมอักเสบมีหนอง
- ผล ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ธาตุพิการ แก้โลหิตเป็นพิษ บวมน้ำ หลอดลมอักเสบ
- ไส้ฟัก แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้ฝีที่เต้านม
- เมล็ด ใช้ลดไข้ แก้ริดสีดวงทวาร แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้ไตอักเสบ บำรุงผิว ละลายเสมหะ ตกขาว
- ราก ต้มดื่มแก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ถอนพิษ
- เถาสด รสขมเย็น ใช้รักษาริดสีดวงทวาร มีไข้สูง
- เปลือก เป็นยาแก้บวม ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย แผลบวมอักเสบ มีหนอง

ตำรับยา :

1. แก้ร้อนใน ไข้สูง หรือไตอักเสบเรื้อรัง : ใช้ฟัก 500 กรัม ต้มน้ำให้ได้ประมาณ 3 แก้ว แบ่งกิน 3 ครั้ง ใน 1 วัน
2. สตรีเบาขัดในระหว่างตั้งครรภ์ : คั้นน้ำฟัก 1 แก้ว ผสมน้ำผึ้งให้พอมีรสหวาน ดื่มบ่อยๆ
3. ผิวหนังมีอาการแพ้เป็นผด: ต้มเปลือกฟัก ล้างบริเวณที่เป็น
4. ผลัดตกหกล้ม เอวเคล็ด : ใช้เปลือกฟักผิงไฟให้แห้ง บดเป็นผงผสมเหล้ากินครั้งละ 6 กรัมจะช่วยลดความเจ็บปวดได้
5. ไตอักเสบ บวมน้ำ : ใช้เปลือกฟัก 120 กรัม หนวดข้าวโพด 30 กรัม ต้มกิน แบ่งน้ำที่ต้มได้เป็น 3 ส่วน กินใน 1 วัน
6. ไออักเสบเรื้อรัง : ใช้เมล็ดฟัก 15-30 กรัม ต้มกินน้ำ
7. ระดูขาว : ใช้เมล็ดฟัก 30 กรัม บดเป็นผง เติมน้ำตาลกรวด 30 กรัม ตุ๋นกินวันละ 2 ครั้ง
8.เบาหวาน : ให้ต้มฟักที่ปลอกเปลือกแล้ว ต้มน้ำกินครั้งละ 60-90 กรัมเป็นประจำ จะทำให้เบาหวานลดลง
9.ริดสีดวงทวาร : อาการอักเสบเจ็บบริเวณทวารหนัก ให้ต้มฟักแล้วเอาน้ำล้างจะลดการอักเสบลงได้

ที่มา : มูลนิธิหมอชาวบ้าน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น