ปวดแสบปวดร้อนกระเพาะอาหาร..เวลาหิวข้าว กระเพาะเป็นแผล ต้องรักษาด้วยกล้วยน้ำว้าดิบเท่านั้น
ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร นับเป็นปัญหาการเจ็บป่วยอันดับต้นๆ ของคนยุคใหม่ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็เร่งรีบไปเสียหมดแม้แต่เรื่องอาหารการกินที่เป็นปัจจัยที่ 1 ของการดำรงชีวิต
“แผลในกระเพาะอาหาร” ก็ถือเป็นอาการผิดปกติเรื้อรังที่สร้างความทรมานให้คนที่เป็นได้อย่างมาก ใครที่เคยเป็นคงรับรู้ถึงความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนกระเพาะอาหารเวลาหิวข้าว แต่พอกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ กลับรู้สึกจุกแน่น เสียดท้องขึ้นมาแทน ต้องหายาเคลือบกระเพาะ ยาลดกรด มาประจำติดตัวกันไว้ แต่ก็ยังไม่หายขาดเสียที แผลในกระเพาะอาหารก็ยังคงเป็นอยู่ต่อไป
อันที่จริงแล้ว มีอีกหนทางในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารที่แสนง่าย ถูก และดี จะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องกล้วยๆ ก็ว่าได้ เพราะงานนี้พระเอกก็คือผลไม้ใกล้ตัว คู่ครัวคนไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่าง “กล้วยน้ำว้า” นี่เอง
ด้วยภูมิปัญญาของปู่ย่าตายาย “กล้วยดิบ” ถูกนำมาใช้รักษาอาการแผลในกระเพาะอาหารมานานแล้ว และในปัจจุบันยังมีการค้นพบว่า ในกล้วยดิบมีสารสำคัญที่ให้รสฝาดและช่วยสมานแผลชื่อ “แทนนิน” ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะอาหารไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ และรสที่เผ็ดร้อนเกินไปทำอันตรายกับผนังกระเพาะอาหารของเราได้
สารสำคัญอีกอย่างหนึ่งในกล้วยทุกชนิดคือ “เซโรโทนิน” ช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกตามธรรมชาติออกมาเคลือบแผล แต่จะไม่กระทบกับการหลั่งน้ำย่อย ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคืองและอาการแสบร้อนท้องโดยที่ไม่ทำให้การย่อยลดประสิทธิภาพลง ในขณะที่ยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร โดยมากออกฤทธิ์เพียงเคลือบป้องกันแผล แต่กล้วยมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและสมานแผลในกระเพาะอาหารควบคู่ไปด้วย
“กล้วย จึงเป็นยาสมานแผลกระเพาะอาหารที่มีคุณภาพดีและราคาถูก”
ที่ ดิ อโรคยา จึงแนะนำคนไข้ที่มีปัญหาแสบร้อนท้อง มีแผลในกระเพาะ ให้ทานกล้วยน้ำว้าดิบเพื่อรักษาแผล วิธีการทานนั้นก็ไม่ยากอย่างที่หลายท่านคิด
*วิธีแรก แบบทานสด
1. เพียงแค่นำกล้วยน้ำว้าดิบมาปอกเปลือกออก หั่นเป็นแว่นบางๆ 2-3 แว่น
2. จุ่มน้ำผึ้งเคี้ยวทานก่อนมื้ออาหารทุกมื้อ ประมาณ 30 นาที การเคี้ยวก่อนกลืนจะช่วยให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น หากไม่ได้จุ่มน้ำผึ้งจะทำให้เวลาเคี้ยวติดฟัน
วิธีนี้ค่อนข้างเห็นผลได้เร็วไม่เกิน 1 เดือนแผลในกระเพาะอาหารก็จะหายได้สนิท
**วิธีที่สอง แบบแปรรูป
หากใครไม่สะดวกในการเตรียมทุกมื้อ ก็สามารถนำกล้วยดิบมาแปรรูปให้เก็บไว้ทานได้ง่ายๆ ดังนี้
1. นำกล้วยน้ำว้าดิบมาล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) แล้วหั่นเป็นแว่นบางๆ แผ่ในถาด ไม่ให้ชิ้นกล้วยซ้อนกัน
2. ตากลมหรือแดดสัก 3 แดด แต่ควรระวังไม่ให้อุณหภูมิสูงเกินไป ตากจนกล้วยกรอบและแห้งสนิท
3. นำมาตำจนละเอียดเป็นผงแล้วเก็บใส่โหล เมื่อจะนำมาทานก็ใช้ผสมกับน้ำอุ่นๆ หรือน้ำผึ้งทานก็ยิ่งดี ก่อนอาหารทุกมื้อ 30 นาที ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
*** วิธีที่สาม แบบยาลูกกลอน
หากไม่สะดวกในการแปรรูปด้วยตนเอง เราก็ยังสามารถหาซื้อกล้วยดิบผงหรือแบบที่ปั้นเป็นลูกกลอน (แนะนำให้ทานแบบลูกกลอนเพราะจะออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารได้ง่าย) ตามร้านขายยายาสมุนไพรมาทานได้เช่นกัน ทานตามที่ฉลากยาแนะนำ ให้ได้ต่อเนื่อง 1-2 เดือน อาการแผลในกระเพาะก็จะหายไป ระบบย่อยจะกลับมาทำงานได้ดีอีกด้วย ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า นี่เป็นเพียงปลายทางในการรักษาอาการที่เกิดขึ้นแล้ว การรักษาโรคที่ถูกต้องที่สุด คือ การปรับพฤติกรรมการกินอยู่ให้เหมาะสมกับธรรมชาติของร่างกาย
*** ใครอยากจะโบกมือเซย์กู๊ดบายจากโรคกระเพาะอย่างจริงจัง ดิ อโรคยา ก็มีคำแนะนำเบื้องต้นดังนี้***
1. ทานอาหารให้ตรงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อเช้า ควรทานไม่เกิน 9:00 น. เพราะเป็นเวลาการทำงานของลมปราณกระเพาะอาหารตามนาฬิกาชีวิต น้ำย่อยจะหลั่งออกมาเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ควรทานอาหารที่มีคุณภาพ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแกง กับข้าวสดใหม่ ก๋วยเตี๋ยว เพราะอาหารเช้า คือขุมพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งวัน
2. หากไม่จำเป็น ควรงดการทานอาหารมื้อดึกเกิน 3 ทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่ระบบต่างๆ ในร่างกายต้องการพักผ่อน
3. ไม่รังแกระบบย่อยอาหารด้วยการดื่มน้ำในเวลาทานอาหารมากเกินไป การดื่มน้ำมากในมื้ออาหารจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง การย่อยจะไม่มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดขยะตกค้างในลำไส้ได้มาก
4. ลดการทานอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์เหนียวๆ ของทอด ของมัน เครื่องดื่มเย็นจัด หวานจัด เพื่อลดภาระของระบบย่อยอาหาร
ลองทำดูสัก 1 เดือน แล้วคุณจะยกมือขึ้นได้สุดแขน
“มาช่วยกันทำให้คนป่วยน้อยลง”
ที่มา...http://thearokaya.co.th/web/?p=6502
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น