WHAT'S NEW?
Loading...

สัญญาณเตือน!! ถ้ามีรอยช้ำ..เป็นจ้ำๆ เสี่ยงเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน

Advertisements

Advertisements

สัญญาณเตือน!! ถ้ามีรอยช้ำ..เป็นจ้ำๆ เสี่ยงเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน

วันนี้มีคำอธิบาย รอยช้ำที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุบนผิวหนัง และคงไม่ใช่เพราะผีอำ แต่เป็นสัญญาเตือนภัยสุขภาพว่า อาจเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาก็มีโอกาสเสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่รอยช้ำไม่รู้ที่มาเท่านั้นที่จะสรุปว่า เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ยังต้องมีอาการอื่น ๆ ปรากฏร่วมด้วย อาทิเช่น อ่อนเพลีย มีไข้อ่อนๆ หลายวันก็ยังไม่ลดไม่หาย เลือดออกตามไรฟัน ส่วนรอยช้ำที่เกิดขึ้นนั้นก็ยิ่งขยายใหญ่กว่าเดิมอีกเท่าตัว

สำหรับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคิเมีย มีทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง โดยชนิดเฉียบพลันจะพบได้บ่อยกว่า โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ซึ่งมีเม็ดเลือดอยู่ 3 ชนิด คือ เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด

โรคนี้ถ้าเป็นแล้วจะส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมีการแบ่งตัวเพิ่มปริมาณมากกว่าปกติ แต่กลับไม่สามารถเจริญเป็นเซลล์ที่แข็งแรง เหตุนี้เองทำให้ช่วงที่เม็ดเลือดขาวมีการแบ่งตัวมากกว่าปกติจะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน อันตรายต่อสมอง หัวใจ และปอด แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงที่เม็ดเลือดขาวลดจำนวนลงเพราะความไม่สมบูรณ์ของเม็ดเลือดขาว

เมื่อนั้นร่างกายจะขาดตัวทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย อันเป็นหน้าที่หลักของเม็ดเลือดขาว ส่งผลให้คนๆ นั้นมีภูมิต้านทานน้อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ มีอาการไข้ และรู้สึกอ่อนเพลีย

ขณะที่รอยช้ำเป็นจ้ำๆ ที่ขยายใหญ่ขึ้นนั้น เกิดจากการที่เส้นเลือดปริแตกจึงมีเลือดออกอยู่ใต้ผิวหนังและไม่ยอมหยุด

สำหรับสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ไม่อาจสรุปสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่ทางการแพทย์สันนิษฐานว่า เกิดจากภาวะผิดปกติของพันธุกรรม และคนที่เป็นโรคทางพันธุกรรมบางอย่างมีโอกาสเป็นได้มากกว่าคนอื่นๆ

ส่วนการรักษา หลังจากแพทย์เจาะตรวจนับเม็ดเลือด เพื่อสำรวจความผิดปกติของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดแล้ว จะให้ผู้ป่วยรับประทานยา บางรายอาจต้องใช้เคมีบำบัดร่วมด้วย

ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว คือ ระวังอย่าให้มีบาดแผล ระวังการชนหรือกระแทก เพราะเลือดจะออกได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังต้องระวังการติดเชื้อเมื่อเป็นแผลด้วย


ขอบคุณที่มา : http://www.thailovehealth.com/disease/health-734.html

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น