WHAT'S NEW?
Loading...

ทำดีต้องได้ดี เจ้าของร้านขายอาหารให้ข้าวคนจรจัดกินทุกวัน 2 ปีผ่านไป กลับมีคนเอารถหรูมาให้ พอได้รู้ความจริง…ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่

Advertisements

Advertisements

“ทำดีต้องได้ดี” เราเชื่อว่าคำนี้ยังใช้ได้เสมอ!! ดังเช่นเรื่องราวที่เรานำมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่อยากให้ทุกคนได้อ่าน ซึ่งเป็นเรื่องราวของพ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งที่มีการแชร์เรื่องราวเหล่านี้จากต่างประเทศ โดยเรื่องนี้มีอยู่ว่า…

ผมเปิดร้านข้าวแกงกับอาหารตามสั่ง เนื่องจากแถวนั้นมีคนงานเยอะก็เลยขายดีพอใช้ ปีที่ 2 หลังเปิดร้าน มีคนจรจัดคนนึงไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่จะมาเดินอยู่แถวร้านทุกวัน หลายๆ ร้านก็รังเกียจไม่ให้ไปอยู่หน้าร้านเค้า แต่เนื่องจากยังไง ร้านผมก็มีอาหารเหลือทุกวัน พอแขกกลับไปหมด ผมก็จะห่อให้แกกินหนึ่งกล่อง ผมขายอะไร แกก็กินไอ้นั่นแหล่ะ

เพราะผมคิดว่า อาหารที่ขายไม่หมด ถ้าไม่ให้แกกินก็ต้องทิ้งอยู่ดี งั้นให้แกกินไม่ดีกว่าหรอไง แล้วดูเหมือนว่าแกก็ค่อยๆ ย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถวๆ ร้านผม แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าแกนอนที่ไหน แต่พอถึงเวลากินข้าว แกก็จะโผล่มาตรงเวลาทุกวัน ถ้าวันไหนแกไม่มาผมเองก็รู้สึกไม่ชิน

เป็นอย่างนี้อยู่ 5-6 ปี แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งแกก็หายไปไม่มาอีกเลย ผมคิดว่าแกคงย้ายไปที่อื่นแล้ว เวลาผ่านไปสองปี เช้าตรู่วันหนึ่ง ผมเปิดประตูร้านเตรียมเปิดร้านตามปกติ ก็เห็นรถใหม่เอี่ยมคนนึงมาจอดอยู่หน้าประตู ผมไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเป็นคนผ่านไปมามาจอดทำธุระ

แล้วก็มีผู้ชายสองคนเดินลงมาจากรถ ตรงมาที่ผม ผมมองหน้า ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าพวกเขามาทำไม แล้วตอนนั้นเอง ผู้ชายคนที่ดูหนุ่มกว่าก็เดินมาหยุดข้างหน้าผม ถามว่า…

เถ้าแก่เจ้าของร้านใช่มั้ยครับ? ผมตอบว่าใช่ เขารีบคุกเข่าลงต่อหน้าผม ผมตกใจมาก รีบถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เล่าให้ฟัง

ที่แท้ ชายคนนี้เป็นลูกของชายคนจรจัดที่เคยมากินข้าวร้านผมเป็นประจำ เมื่อ 10 ปีที่แล้วพ่อของเขาหนีออกจากบ้านมาเพราะป่วย แล้วเขาก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย 10 ปีมานี้เขา และที่บ้านพยายามตามหาพ่อมาตลอด แต่หายังไงก็หาไม่เจอ แต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งพ่อก็กลับมาที่บ้าน

เขาก็เลยรีบพาพ่อไปหาหมอ หลังจากรักษาได้สองปี พ่อก็หาย พอท่านได้สติประโยคแรกของท่านก็คือ ขอให้ผมพาท่านมาขอบคุณผู้มีพระคุณ และผู้มีพระคุณคนนั้นก็คือเถ้าแก่ ผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขาก็คือพ่อเขานั่นเอง

ผมพินิจ พ่อของเขาแตกต่างจากชายจรจัดคนนั้นเป็นคนละคน ถ้าเขาไม่บอกผมไม่มีทางรู้ แล้วชายหนุ่มก็พูดต่อ เขาทำธุรกิจได้เงินมาไม่น้อย ก็เลยซื้อรถมาเป็นของตอบแทนที่ผมเคยช่วยดูแลพ่อเขาไว้

ผมได้ยินก็ยืนกรานไม่ยอมรับ พ่อเขาก็เลยว่า ถ้าผมไม่ยอมรับ พวกเขาก็จะคุกเข่ารอจนกว่าจะรับ ผมไม่มีทางเลือก ก็เลยโอเคไป

นับจากนั้นมา ทุกปี สองพ่อลูกจะต้องมาที่ร้านปีละครั้งสองครั้ง มานั่งคุย มากินอาหารที่ร้าน ชายหนุ่มบอกว่า พ่อเขาพูดว่า ถ้าตอนนั้นผมไม่ได้ให้ข้าวเขากิน เขาก็คงตายอย่างหมาข้างถนนไปแล้ว อาหารที่ร้านผม เป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

เรียบเรียงโดย แชร์สดออนไลน์

1 ความคิดเห็น: Leave Your Comments