WHAT'S NEW?
Loading...

20 สูตรสมุนไพรลดเลือนรอยกระอย่างง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง

Advertisements

Advertisements
20 สูตรสมุนไพรลดเลือนรอยกระอย่างง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง

1. สูตรกระเทียม นำกระเทียมมาฝานให้มีขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเขียว จากนั้นนำไปวางไว้บนบริเวณที่เป็นจุดกระ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วล้างออก และควรทำซ้ำทุกๆ 3 วัน

2. สูตรว่านหางจระเข้ นำเอาวุ้นข้างในของว่านหางจระเข้ มาปั่นให้ละเอียดแล้วทาบริเวณที่เกิดกระขึ้น หรืออาจใช้เจลว่านหางจระเข้แทนก็จะได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-10 นาที ทำวันละสองครั้งในตอนเช้า และก่อนนอน

3. สูตรใบกระเพราะแห้ง นำใบกระเพราแห้งมาปั่น จนกระทั่งได้ปริมาณประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ จากนั้นเติมน้ำที่ผ่านการต้มลงไปประมาณ 100 มิลลิลิตร คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปแช่เย็น จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทาในบริเวณที่เป็นกระวันละ 2 ครั้ง

4. สูตรน้ำมะนาว นำน้ำมะนาวแต้มบริเวณที่เป็นกระทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก จากนั้นทำการซับใบหน้าให้แห้ง

5. สูตรนมเปรี้ยว แนะนำให้เลือกใช้นมเปรี้ยวรสธรรมชาติ เนื่องจากมีปริมาณของกรดแลคติกที่สูงมากกว่านมเปรี้ยวรสอื่นๆ จากนั้นนำนมเปรี้ยวแต้มลงไปในบริเวณที่เกิดกระเล็กน้อย ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก

6. สูตรหัวไชเท้า นำหัวไชเท้ามาล้างน้ำให้สะอาดแล้วฝานเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นนำไปถูบริเวณที่เป็นกระ วันละ 5-10 นาที แล้วล้างออก

7. สูตรนำมันมะพร้าว+น้ำมะนาว นำน้ำมันมะพร้าวมาผสมรวมกับน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่าๆกัน ทำการคนผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปแต้มในบริเวณที่เป็นกระเป็นประจำทุกวัน จะสามารถช่วยลบเลือนริ้วรอยจากกระให้ลดน้อยลง

8. สูตรน้ำมะขามเปียก+น้ำผึ้ง ทำการคั้นเอาน้ำมะขามเปียก แล้วนำไปตั้งไฟอ่อนจนสุก แล้วผสมเข้ากับน้ำผึ้งคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาทาในบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก

9. สูตรข้าวโอ๊ต+มะม่วงหิมพานต์ นำข้าวโอ๊ตและมะม่วงหิมพานต์มาบดผสมให้เข้ากัน ผสมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อยแล้วคนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก

10. สูตรหัวผักกาด นำหัวผักกาดมาหั่นให้เป็นแว่นบางๆ แล้วนำไปทาในบริเวณที่เป็นกระให้ทั่ว ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและตอนเย็น กระจะค่อยๆจางลงไปภายใน 10-15 วัน

11. สูตรไข่ขาวดิบ นำไข่ขาวดิบ โดยเฉพาะไข่ขาวที่อยู่รอบๆบริเวณไข่แดงซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการช่วยลดรอยจากกระได้มากที่สุด ทาลงบนใบหน้าบริเวณที่เป็นกระวันละ 1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

12. สูตรแตงกวา นำแตงกวามาฝานให้เป็นแว่น ให้บางมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ จากนั้นให้นำมาวางบนใบหน้าในบริเวณที่เป็นกระ

13. สูตรมะเขือเทศ+น้ำมะนาว นำมะเขือเทศมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปผสมกับน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่ากันให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดพร้อมกับซับหน้าให้แห้ง แล้วนำส่วนผสมที่ได้ทาลงไปในบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

14. เบบี้ออย+น้ำมะนาว นำเบบี้ออยผสมเข้ากับน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่ากัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้ทาในบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สูตรน้ำผึ้งอุ่นๆ นำน้ำผึ้งไปทำการอุ่น และควรระวังอย่าให้อุณภูมิของน้ำผึ้งสูงจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้หน้าไหม้เมื่อทำการทาได้ จากนั้นนำวีทเจิร์มมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าพร้อมกับนวดด้วยนิ้วเบาๆ หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็น

16. สูตรหอมแดง นำหอมแดงมาหั่นครึ่ง แล้วนำไปถูบนบริเวณที่เป็นกระ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง หอมแดงจะช่วยทำการขจัดจุดกระและรอยด่างดำให้จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ

17. สูตรขมิ้น+งา ผสมขมิ้นและงาในสัดส่วนที่เท่ากัน แล้วนำไปบดผสมกับน้ำเปล่าจำนวนเล็กน้อยให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปใช้ในการพอกหน้า ทิ้งเอาไว้ให้แห้งประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

18. สูตรแครอทต้ม+น้ำมะนาว นำหัวแครอทไปทำการต้มในน้ำเดือดประมาณ 15 นาที แล้วนำมาผสมกับน้ำมะนาวให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

19. สูตรน้ำส้มสายชู นำน้ำส้มสายชู ผสมเข้ากับน้ำเปล่าในปริมาณที่เท่ากัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการทำความสะอาดใบหน้าในบริเวณที่เป็นกระ ซึ่งควรเลือกใช้น้ำส้มสายชูที่ผลิตจากแอปเปิ้ลหรือน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากธรรมชาติ

20. สูตรมะละกอ นำเนื้อมะละกอสุกมาปันให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกหน้า โดยเว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ข้อควรระวัง : เนื่องจากในส่วนผสมในสูตรต่างๆที่ใช้ในการรักษากระมักมีส่วนผสมของน้ำมะนาว ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด การใช้น้ำมะนาวกับบริเวณใบหน้าจึงควรที่ทดลองใช้กับจุดเล็กๆก่อน เพื่อเป็นการทดสอบว่าผิวของคุณสาวๆ มีอาการแพ้น้ำมะนาวหรือไม่

ถ้าหากไม่เกิดอาการแพ้ หรือปวดแสบ ปวดร้อน มากจนผิดปกติ จึงค่อยๆ เพิ่มการใช้ในจุดอื่นๆ ต่อไป เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพผิวที่ดีของตัวคุณสาวๆ เอง





บทความจาก...... facebook พระอธิการ นพดล กันตสีโล วัดหนองรั้ว






0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น